- REPUBLIC OF THE PHILIPPINES GGM Case Study (link สำรอง กดที่นี่)
- NoFreeLunch (Worldwide)
- NoFreeLunch (UK)
- Healthy Skepticism
งานวิจัย
การประชุมเชิงปฏิบัติการ
เรื่อง การพัฒนารูปแบบการนำเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยาไปสู่การปฏิบัติ (ครั้งที่ 2)
ภายใต้โครงการ Good Governance in Pharmaceutical Registration, Selection, Inspection, Advertisement and Distribution (Phase III)
วันที่ 30 ตุลาคม 2555 ณ โรงแรมริชมอนด์ อ.เมือง จ.นนทบุรี
การประชุมเชิงปฏิบัติการ
โครงการศึกษารูปแบบการนำเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยาไปสู่การปฏิบัติวันที่ 10 กันยายน 2555 เวลา 09.00 – 16.30 น.
ณ โรงแรมเดอะทวิน ทาวเวอร์ ถ.รองเมือง กรุงเทพฯ
(ยังไม่หมด กำลังรอคัดเลือกอีกราว 100 ข่าวครับ)
การส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรมและการใช้ยาที่ไม่สมเหตุผล ส่งผลให้เกิดปัญหาการบริโภคยาเกินจำเป็น บริโภคยาราคาแพงเกินควร ทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลดังนั้นที่ประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 พ.ศ.2552 จึงมีมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ เรื่องยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม ต่อมาคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2553 ได้มีมติเห็นชอบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติดังกล่าวโดยมอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งคณะทำงานที่มาจากทุกภาคส่วนที่ไม่มีส่วนได้เสียกับธุรกิจยาทั้งในและต่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่พัฒนาเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยาตามแนวทางขององค์การอนามัยโลกให้เป็นเกณฑ์กลางของประเทศ รวมถึงศึกษาระบบการนำหลักเกณฑ์จริยธรรมดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในสถานพยาบาลหรือขยายเพิ่มเติมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเกณฑ์จริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายยาขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ.2531 สำหรับประเทศไทยได้มีพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานทางจริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขายเภสัชภัณฑ์ เมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยที่ยังไม่เคยประกาศใช้ อย่างไรก็ตามประเด็นจริยธรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมการขายยาปรากฏในข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2526 และต่อมา ได้แก้ไขปรับปรุงเป็นข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2549 ส่วนสภาเภสัชกรรมได้กำหนดข้อบังคับสภาเภสัชกรรมว่าด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรมใน พ.ศ.2537 และแก้ไขเพิ่มเติมใน พ.ศ. 2538 แต่มิได้มีประเด็นจริยธรรมว่าด้วยการส่งเสริมการขาย
ต่อมา คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ในคณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ได้แต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อจัดทำแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และบริษัทยา ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2551 แต่มิได้มีการบังคับใช้เนื่องจากคณะกรรมการแห่งชาติด้านยาหมดวาระลงตามการสิ้นสุดของคณะรัฐมนตรี
คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติซึ่งแต่งตั้งตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ.2551 ได้จัดทำนโยบายแห่งชาติด้านยา พ.ศ.2555 และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ.2555 – 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ.2554 โดยหนึ่งในยุทธศาสตร์นั้นว่าด้วยการส่งเสริมจริยธรรมผู้สั่งใช้ยาและยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลและคณะอนุกรรมการชุดนี้ได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมจริยธรรมผู้สั่งใช้ยาและยุติการส่งเสริมการขายยาที่ขาดจริยธรรม เพื่อจัดทำเกณฑ์จริยธรรมการส่งเสริมการขายยาขึ้น ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านมติเห็นชอบของคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ.2555
แผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายวิชาการและภาคประชาชน โดยมีบทบาทในการสนับสนุนการจัดทำเกณฑ์จริยธรรมฯ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาตั้งแต่การนำเสนอเข้าสู่กระบวนการของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 จนกระทั่งพัฒนาเกณฑ์จริยธรรมฯ ดังกล่าวเสร็จสิ้นและพร้อมสนับสนุนในการขับเคลื่อนการนำเกณฑ์จริยธรรมฯ ไปประยุกต์ใช้ในสถานพยาบาลต่อไป
รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพาราเซตามอล
ประเทศไทย
สถานะทางกฎหมายของพาราเซตามอล (paracetamol)
สหรัฐอเมริกา
สหราชอาณาจักร
เตือนวิตามินลดน่องไม่ผ่าน อย.
ไทยรัฐ วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555 หน้า 15
ข่าวจาก ASTV ผู้จัดการ http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000118784&CommentReferID=22051210&CommentReferNo=2
ภก.ปรุฬห์ รุจนธำรงค์
การประชุมเพื่อเตรียมการสมัชชาเภสัชกรรมไทย 100 ปี (พ.ศ. 2556) เป็นความร่วมมือของสภาเภสัชกรรม ศูนย์ประสานงานการศึกษาเภสัชศาสตร์แห่งประเทศไทย (ศ.ศ.ภ.ท.) และองค์กรวิชาชีพต่างๆ ภายใต้การดำเนินการของคณะกรรมการจัดประชุมเตรียมการสมัชชาเภสัชกรรมไทย 100ปี (พ.ศ. 2556) : บทบาทวิชาชีพเภสัชกรรมไทยและการศึกษาเภสัชศาสตร์ในศตวรรษหน้า ซึ่งได้มีการเตรียมการมาเป็นระยะๆ และมีแผนที่จะจัดการประชุมเตรียมการสมัชชาอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อประมวลสถานการณ์ บทบาท กำลังคน แผนยุทธศาสตร์ ของสาขาต่างๆ ในวิชาชีพเภสัชกรรม ตลอดจนการกำหนดทิศทางของวิชาชีพเภสัชกรรมในอนาคต การประชุมนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 8 ธันวาคม ของทุกปี เนื่องจากจากถือว่าเป็นวันถือกำเนิดของวิชาชีพเภสัชกรรมในประเทศไทย และจะมีการจัดงานครบรอบ 100 ปีวิชาชีพเภสัชกรรม ในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2556
หมอเตือนถึงตายฉีดฟิลเลอร์ผิดวิธีเสริมจมูกเสี่ยงตาบอดเหยื่อมือฉีดสารโผล่อีก
คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555 หน้า 3, 13
สมาคมแพทย์ผิวหนังเตือนฉีดฟิลเลอร์ผิดวิธีถึงตาย ชี้ 2 ปีที่ผ่านมารักษามากขึ้น เผยฉีดเสริมจมูก เสี่ยงตาบอด ขณะนี้ ผู้รักความงามส่วนใหญ่แห่ฉีด “สารโพลิอะคริลามีด” ราคาถูกเสริมหน้าอก ถึงเสียชีวิต เหตุเป็นสารต้องห้าม ด้านเหยื่อมือถือฉีดสารโผล่แจ้งความอีก 3
เมื่อวันที่ 25 กันยายน พล.ต.นพ.กฤษฏา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสมาชิกแพทย์ผิวหนังว่าปัจจุบัน มีประชาชนที่ไปรับบริการฉีดสารเติมเต็ม หรือฟิลเลอร์ แล้วเกิดอาการแทรกซ้อนมาขอรับการรักษาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีทั้งอาการแทรกซ้อนที่ไม่ร้ายแรง เช่น เขียวช้ำ เป็นจ้ำเลือด บวม ใบหน้าไม่เท่ากัน เกิดอาการแพ้เป็นผื่นแดง เกิดก้อนที่ผิวหนัง ถึงขั้นเกิดอาการแทรกซ้อนอย่างรุนแรง เช่น ผิวหนัง ตาย จมูกเน่า ตาบอด และเสียชีวิต ซึ่งตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พบว่าอาการแทรกซ้อนส่วนใหญ่ที่แพทย์มักเจอบ่อยครั้ง คือ จมูกเน่า ประมาณ 10-20 ราย ส่วนตาบอด ประมาณ 5-10 ราย
นพ.กฤษฏา กล่าวต่อว่า ผู้ที่มีความสนใจหรือต้องการไปฉีดสารเติมเต็มเพื่อเสริมความงามควรศึกษาข้อมูลและรายละเอียดรวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหลังการฉีดก่อนตัดสินใจทำ เพราะถึงแม้ว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นพบได้ไม่บ่อยนักแต่หากเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอันตราย จึงต้องพิจารณาสถานที่ที่ไปฉีด ชนิดของสารที่ฉีดเข้าร่างกาย และความน่าเชื่อถือของแพทย์ผู้ทำการฉีด เพราะถ้าสารที่ฉีดได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) มีเครื่องมืออุปกรณ์การฉีดที่ได้มาตรฐาน แต่หากผู้ที่ทำการฉีดไม่ได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้เช่นกัน ขนาดเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและฉีดถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่ถ้าไปฉีดให้ผู้ที่เคยเสริมจมูกมาแล้วก็อาจเกิดผลข้างเคียงและเป็นอันตราย เนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคของจมูกผิดแปลกไปจากเดิม
นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ประเภทของฟิลเลอร์แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1.แบบชั่วคราว สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง แต่อายุการใช้งานสั้น 4-6 เดือน ราคาค่อนข้างแพง
2.แบบกึ่งถาวร มีความปลอดภัยปานกลาง อายุการใช้งานประมาณ 2 ปีและ
3.แบบถาวร ไม่สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติ ส่วนมากเป็นซิลิโคน หรือพาราฟิน ซึ่งฟิลเลอร์ชนิดนี้มักก่อให้เกิดผลข้างเคียงระยะยาวซึ่ง อย.ประเทศไทยรับรองเฉพาะฟิลเลอร์แบบชั่วคราวเท่านั้น ได้แก่ Juvederm Restylane Revenese และ ESthelis
นพ.จินดา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันฟิลเลอร์ถูกนำมาใช้รักษาทางการแพทย์อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะการรักษาปัญหาด้านผิวพรรณ เช่น การแก้ไขปัญหาริ้วรอยของผิวอันเนื่องมาจากวัย บริเวณหน้าผาก หางตา และร่องแก้ม การแก้ปัญหาแผลเป็นชนิดผิวบุ๋มจากการอักเสบและการฉีดเพื่อเสริมสร้างเนื้อเยื่อผิวหนังให้มีลักษณะนูนขึ้น เช่น เสริมจมูก เสริมคาง ฉีดริมฝีปาก หรือฉีดเสริมรูปทรงของใบหน้าให้ดูอวบอิ่ม อย่างไรก็ตามแม้จะมีการใช้ฟิลเลอร์รักษาผิวพรรณอย่างแพร่หลาย แต่การเลือกใช้มีข้อจำกัดในแต่ละบุคคล ซึ่งต้องเลือกชนิดและขนาดโมเลกุลของฟิลเลอร์ให้เหมาะกับสภาพผิวหนังและตำแหน่งในการฉีด