แพทย์เตือนคนไทยกินยาแบบผิดๆทำไตพัง พบยาชุด สมุนไพรเถื่อน-ยาจีนเกลื่อนท้องตลาด หลงเชื่อกินไตวายถึงตาย จี้ อย. เร่งจัดการด่วน


 

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ที่ศศนิเวศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับนักวิชาการจากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (สยส.) และเครือข่ายผู้ป่วยโรคไตจัดแถลงข่าว “ยาที่เป็นอันตรายต่อไต

นายธนพล ดอกแก้ว ประธานชมรมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย และประธานครือข่ายพลเมืองขับเคลื่อนสิทธิด้านสุขภาพ (Healthy Forum) เครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรัง กล่าวว่า ตนป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรังซึ่งปัจจุบันนี้ได้รับการปลูกถ่ายไตแล้ว สาเหตุของการป่วยเป็นไตวายเกิดจากการใช้ยาสมุนไพรและการซื้อยากินเอง ทำให้ใช้ชีวิตที่ลำบากและทรมานมากมีชีวิตรอดมาได้ด้วยการฟอกเลือด 3 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ติดต่อกันถึง 10 ปี กว่าจะได้เปลี่ยนไต แม้ไม่ต้องฟอกเลือดแต่ก็ต้องกินยากดภูมิตลอด ทำให้เป็นทุกข์ทั้งทางร่างกายและจิตใจกว่าจะก้าวผ่านมาได้ทำให้รู้ว่าโรคไตเป็นโรคที่ร้ายแรงที่คงไม่มีใครอยากเป็น ซึ่งในปัจจุบันมีการโฆษณาชวนเชื่อของยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรวมทั้งยาสมุนไพรต่างๆที่เกินจริง หากผู้ป่วยหลงเชื่อตามโฆษณาแล้วซื้อไปกินอาจได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงและประชาชนทั่วไป ยกตัวอย่างยาที่เรียกว่า “ยาบำรุงล้างไต” ที่โฆษณาว่าผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ฟอกเลือดอยู่ถ้าหากกินยาบำรุงล้างไตนี้แล้วจะไม่ต้องมาฟอกเลือดอีกเลย ซึ่งเป็นการโฆษณาเกินจริง ความจริงแล้วผู้ป่วยโรคไตวายทั่วไปต้องกินยาตามแพทย์สั่ง ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีวิธีการบำบัดทดแทนไต ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตในระยะเริ่มต้น ถ้าหากซื้อยากินเองตามคำชวนเชื่อหรือคำโฆษณาอาจจะทำให้ไตวายเร็วขึ้นและเสียชีวิตได้

ศ.นพ.ชัยรัตน์ ฉายากุล อายุรแพทย์โรคไต คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และประธานอนุกรรมการโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผลกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นหมอที่รักษาผู้ป่วยไตมาโดยตลอด พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังสูงถึง 8 ล้านคน และมีแนวโน้มป่วยเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่เกิดจากโรคเบาหวานหรือความดันเลือดสูง หากมีการดูแลตนเองด้วยการควบคุมอาหาร การออกกำลังกายและใช้ยาอย่างเหมาะสมจะสามารถชะลอการเสื่อมของไตได้  แต่ปัญหาคนไข้ไตที่เพิ่มสูงขึ้นเชื่อว่าเกิดจากการใช้ยาไม่ถูกต้อง ไม่ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ อาจเพราะเชื่อว่าการกินยามากๆจะไปกระเทือนไต หรือเกิดความเบื่อหน่ายในการกินยา นอกจากนั้นยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคไตด้วยสาเหตุจากการใช้ยาโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่กินยาแก้ปวดแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์หรือยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) มาเป็นเวลานาน ยาฆ่าเชื้อบางชนิด หรือยาจีน-ยาไทยที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ซึ่งในบางครั้งจะทำให้ไตเสื่อมมากขึ้นหรือหยุดทำงานได้

สำหรับการดูแลและป้องกันปัญหาโรคไต ศ.นพ.ชัยรัตน์ ได้แนะนำหลัก 4 ควรเพื่อถนอมไตคือ ควรกินยารักษาอย่างต่อเนื่อง ควรสอบถามจนเข้าใจถึงยาทึ่กินอยู่ ควรแจ้งแพทย์ทุกครั้งว่าเป็นโรคอะไร และควรมีรายชื่อยาที่ใช้อยู่เป็นประจำพกติดตัวไว้เมื่อมาพบแพทย์ ส่วนหลัก 4 ไม่ควรเพื่อป้องกันผลเสียของยาต่อไต คือ ไม่ควรหยุดยาเอง ไม่ควรซื้อยาแก้อักเสบ ยาฆ่าเชื้อ หรือยาบำรุงอาหารเสริมมากินเอง ไม่ควรหลงใหลในคำชวนเชื่อหรือคำโฆษณาในการกินยาที่ไม่รู้จัก และไม่ควรกินยาของผู้อื่น โดยเชื่อว่าจะใช้ได้ผลดีเหมือนกันกับเรา ซึ่งหากใช้ยาได้ถูกต้อง สมเหตุผล ปัญหาเรื่องไตก็จะลดลงมาก

ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล ประธานคณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผลกล่าวว่า ยากลุ่มเอ็นเสดเป็นยาแก้ปวดที่ดี มีที่ใช้หลากหลาย เช่นใช้บรรเทาปวดจากโรคเกาต์ ไมเกรน ข้อเข่าเสื่อม ปวดประจำเดือน และการปวดทางทันตกรรม เป็นต้น แต่ยากลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำให้ไตเสื่อมไตวายจนถึงขั้นต้องทำการฟอกไตและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตได้ จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น และต้องใช้ยาให้ถูกขนาด ไม่ใช้ต่อเนื่องนานๆ ต้องมีการตรวจติดตามการทำงานของไต และหลีกเลี่ยงการใช้กับผู้ที่เป็นโรคไตอยู่เดิม แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามีการใช้ยาเหล่านี้อย่างพร่ำเพรื่อทั้งในสถานพยาบาลภาครัฐและเอกชน ตลอดจนร้านขายยา รวมไปถึงการขายยาอย่างผิดกฎหมายตามร้านชำและรถเร่ โดยเฉพาะการซื้อขายในรูปแบบของ “ยาชุด” ซึ่งมีเอ็นเสดมากกว่า 1 ชนิดในยาชุดแต่ละซอง อันเป็นการซ้ำเติมให้เกิดพิษต่อไตอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น จึงขอเสนอว่า กระบวนการควบคุมการใช้เอ็นเสดให้เป็นไปอย่างสมเหตุผลควรเป็นมาตรการที่ครอบคลุมการจ่ายยานี้จากทุกแหล่ง ทั้งสถานพยาบาลภาครัฐ เอกชนและควรบังคับใช้กฏหมายต่อการขายยาอย่างผิดกฎหมายเพื่อช่วยปกป้องประชาชนจากอันตรายของยากลุ่มนี้

ผศ.นพ.พิสนธิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการกำหนดให้ภายใต้แผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) สาขาที่ 15 เรื่อง “การใช้ยาอย่างสมเหตุผล” ได้กำหนดตัวชี้วัดเกี่ยวกับเอ็นเสดไว้ 2 ตัวชี้วัด ที่โรงพยาบาลทั้งหลายควรปฏิบัติให้ผ่านเกณฑ์ ได้แก่ การใช้เอ็นเสดซ้ำซ้อนในอัตราไม่เกินร้อยละ 5 และหลีกเลี่ยงการใช้เอ็นเสดในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป ให้เหลือไม่เกินร้อยละ 10

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ซึ่งสนับสนุนโดย สสส. และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าโรคไตของไทยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อภาระทางเศรษฐกิจทั้งต่อผู้ป่วยครอบครัวและประเทศ โดยพบว่างบประมาณในการล้างไตสูงขึ้นทุกปี ในปีงบประมาณ พ.ศ.2561 สูงถึง 8,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ป่วยโรคไตรายใหม่ที่มีสาเหตุมาจากการใช้ยาต่างๆจำนวนไม่น้อย โดยการใช้ยาที่ส่งผลต่อโรคไต เช่น การใช้ยาชุดผสม
สเตียรอยด์และยาต้านการอักเสบเอ็นเสดที่แพร่กระจายในหลายพื้นที่ และพบว่ามีผู้ใช้ติดต่อกันนานเป็นปีจนถึงขั้นไตวายนอกจากนี้ในชุมชนยังมีปัญหาความเสี่ยงต่อโรคไตได้แก่ การฉีดยาต้านอักเสบที่ไม่ถูกต้อง ยาที่อนุญาตขึ้นทะเบียนยาไม่เหมาะสม สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายต่อไต เช่นยาสูตรผสมระหว่างยาต้านอักเสบเอ็นเซดกับสเตียรอยด์และวิตามิน มีการอนุญาตทะเบียนยาที่อ้างบำรุงไตหรือล้างไตที่ไม่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ผู้ป่วยอาจละเลยการดูแลไต จนโรคลุกลามได้ การกระจายของยาสมุนไพรแผนโบราณที่นำเข้าและมีการลักลอบใส่ยาต้านอักเสบจนมีผู้เสียชีวิต รวมถึงการไม่จัดการปัญหาโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพบำรุงไตเกินจริง จนทำให้ผู้ป่วยหลงเชื่อหาซื้อมาบริโภค จนเกิดความเสียหายทั้งด้านการเงินและสุขภาพ

ผศ.ภญ.ดร.นิยดา กล่าวเสริมว่า กพย. และเครือข่ายเรียกร้องให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นมีการแก้ไขปัญหาดังนี้ 1) เร่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยากับปัญหาการเกิดโรคไตผ่านการให้ความรู้แก่ประชาชนและสังคมที่เป็นเรื่องปลายน้ำ 2) จัดทำข้อมูลเพื่อเตือนภัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ปลอมปน
สเตียรอยด์หรือเอ็นเสด โดยอาจทำผ่านระบบ Single Window ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จัดทำขึ้น 3) ในเรื่องต้นน้ำ จำเป็นต้องมีการทบทวนทะเบียนตำรับยา ถอนทะเบียนยาที่ไม่มีประสิทธิผลหรือที่ไม่เหมาะสมเป็นอันตราย หรือจัดประเภทยาใหม่ เช่นยาต้านอักเสบชนิดฉีด ต้องปรับให้เป็นยาควบคุมพิเศษ และ 4) จัดระบบเฝ้าระวังโรคไต โดยการ scan หรือระบบตรวจคัดกรองหากลุ่มเสี่ยงต่อโรคไตทั้งใน โรงพยาบาลและในชุมชน เพื่อค้นหาสาเหตุ กำหนดวิธีป้องกันและแก้ไขปัญหา 5) การจัดระบบการควบคุมการกระจายยากลุ่มเสี่ยงทั้งยาชุด ยาตำรับไม่เหมาะสมให้เข้มงวดมากขึ้น ให้สามารถติดตามได้ว่าทำไมยาจึงออกจากโรงงานผลิต ไปอยู่ในยาชุดขายในชุมชนได้อย่างไร 6) ในการส่งเสริมการใช้ยาที่เหมาะสมของบุคลากรการแพทย์ในโรงพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำเป็นต้องนำฐานข้อมูลการใช้ยาที่มีอยู่เพื่อชี้เป้าปัญหาการใช้ยา ลดปัญหาการจ่ายยาเอ็นเสดซ้ำซ้อน รวมทั้งการเฝ้าระวังปัญหากรณีผู้ป่วยที่เกิดโรคไตจากการใช้ยาเข้ามารักษา