|
|
|
|
สถิติ
|
ปรับปรุง : 7/03/2018
สถิติผู้เข้าชม:6646265 การเปิดหน้าเว็บ:9506467 Online User Last 1 hour (0 users)
|
|
|
|
|
|
|
เอกสารรั่ว เผยแคนาดายอมขยายสิทธิบัตรยาในเอฟทีเอกับอียู |
|
|
|
19 สิงหาคม 2557
|
|
|
|
ลิงค์: www.hfocus.org/content/2014/08/7926
เดอะฮัฟฟิงตัน โพสต์ แคนาดา : เอกสารสำคัญกว่า 520 หน้าจากทั้งหมด 1,500 หน้า ได้ถูกนำออกมาเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของรายการข่าวภาคค่ำที่ออกอากาศทางเครือข่ายสถานีโทรทัศน์เออาร์ดี ของเยอรมนีเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยสื่อเยอรมันรายนี้อ้างว่าเอกสารดังกล่าวคือร่างกรอบเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างแคนาดากับสหภาพยุโรป และจากการตรวจสอบเบื้องต้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจพบว่า เอกสารดังกล่าวมีข้อความที่ระบุว่าแคนานาจะยอมขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรด้านยา ทำให้ชาวแคนาดาต้องจ่ายค่ายาสูงขึ้นจากปีละ 900 ล้านดอลล่าร์ เป็น 1,650 ล้านดอลล่าร์
นายสตีเฟน ฮาร์เพอร์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา และนายโฮเซ่ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป
ที่ผ่านมาสหภาพยุโรปได้พยายามผลักดันให้แคนาดาขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรยามาโดยตลอด ซึ่งจากการประมาณการณ์พบว่า หากการเคลื่อนไหวดังกล่าวสำเร็จจะทำให้ชาวแคนาดาต้องจ่ายค่ายาสูงขึ้นจากปีละ 900 ล้านดอลล่าร์ เป็น 1,650 ล้านดอลล่าร์ และแม้ว่าพรรครัฐบาลอนุรักษนิยมได้สัญญาว่าจะจัดสรรงบประมาณให้แต่ละเขตพื้นที่เพื่อชดเชยค่ายาที่เพิ่มขึ้น แต่จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่มีการชี้แจงเงื่อนไขในการจ่ายชดเชยแต่อย่างใด
นายเบรนท์ แพทเทอร์สัน ผู้อำนวยการสภาการปกครองแห่งแคนนาดา ชี้ว่าเอกสารดังกล่าวยังไม่น่าเชื่อถือโดยเฉพาะสำนวนภาษาที่ใช้ในบทที่ว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุนผ่านกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน (ไอเอสดีเอส) นั้นเรียกได้ว่าไม่มีความเป็นประชาธิปไตยเลย "มันคือบทบัญญัติเดียวกันกับที่เราเคยเห็นในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) ซึ่งนั่นถือเป็นหายนะเลยทีเดียวโดยเฉพาะเงื่อนไขของการจัดซื้อจัดจ้าง"
นายแพทเทอร์สัน ระบุด้วยว่า มีข้อเรียกร้องให้บางเขตการปกครองซึ่งรวมถึงโตรอนโต วิคตอเรีย ฮามิลตัน และเรดเดียร์ ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำตามข้อตกลงทางการค้าเสรีระหว่างกัน (ซีอีทีเอ) ซึ่งไม่อนุญาตให้รัฐบาลในระดับท้องถิ่นทำการค้าระหว่างกันได้
"โดยส่วนตัวคิดว่าเอกสารน่าจะถูกปล่อยออกเร็วกว่านี้ เพื่อให้กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องจะได้นำมาวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมเพื่อสร้างกระแสคัดค้าน ซึ่งอาจจะได้รับการสนับสนุนจากพรรคเสรีนิยมและพรรคเอ็นพีดี"นายแพทเทอร์สัน กล่าว
ด้านนายแบรด วูดไซด์ ประธานเครือข่ายสหพันธ์เทศบาลแห่งประเทศแคนาดา (เอฟซีเอ็ม) ปฎิเสธที่จะกล่าวถึงข้อความที่ได้รับการเผยแพร่นี้ "ผมเชื่อว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติจะได้รับความคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็นซีอีทีเอหรือข้อตกลงทางการค้าใดๆที่จะมีขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ เอฟซีเอ็มจะไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆต่อข้อมูลที่ถูกกล่าวอ้างในครั้งนี้"
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนภาคเอกชนและกลุ่มผู้ลงทุนด้านอุตสาหกรรม ที่ได้รับการติดต่อขอสัมภาษณ์ เช่น สมาคมก่อสร้าง สมาคมผู้ผลิตยาสามัญในแคนาดา และสมาคมผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม แคว้นควิเบก ต่างก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์และแสดงความคิดเห็นต่อข้อมูลที่รั่วออกมานี้
ศาสตราจารย์ไมเคิล กีอิสท์ จากมหาวิทยาลัยออตโตวา กล่าวว่า ข้อมูลที่รั่วออกมานี้ยิ่งก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ ไอเอสดีเอสหรือการคุ้มครองการลงทุนผ่านกลไกระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชน
"มีกลุ่มนักวิจารณ์ได้ออกมาระบุว่า ข้อตกลงทางการค้าจะก่อให้เกิดองค์กรระหว่างประเทศที่จะช่วยบริษัทต่างๆสามารถที่จะฟ้องร้องรัฐบาลได้หากบริษัทเหล่านั้นรู้สึกว่ากฎหมายของประเทศละเมิดสิทธิของตนภายใต้ข้อตกลงการค้า ทั้งนี้ กลุ่มนักวิจารณ์ยังได้ระบุด้วยว่ากลไกการระงับข้อพิพาทนี้เป็นการรุกล้ำอำนาจอธิปไตยของประเทศ"
ด้านนายรูดี ฮัสนี โฆษกของ นายเอ็ด ฟาสต์ รัฐมนตรีการค้าระหว่างประเทศแคนาดา ได้ออกมาปฎิเสธที่จะยืนยันหรือปฏิเสธความถูกต้องของเอกสาร แต่ทั้งนี้ได้ยืนยันว่าการเจรจาผ่านไปแล้วด้วยดีและขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าข้อตกลงดังกล่าวจะส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
นายฮัสนีกล่าวว่า ร่างสุดท้ายของข้อตกลงการค้าเสรีแคนาดา-สหภาพยุโรปกำลังอยู่ระหว่างการตรวจทาน และคาดว่าจะสามารถเผยแพร่กรอบข้อตกลงอย่างเป็นทางการได้ในระหว่างการจัดประชุมสุดยอดแคนาดา-สหภาพยุโรปซึ่งแคนาดาจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมในวันที่ 25 กันยายนที่จะถึงนี้ ณ เมืองออตโตวา นับเป็นการปิดฉากการเจรจาทางการค้าที่เข้มข้นยาวนานกว่า 5 ปีลงอย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านี้รัฐบาลแคนาดาได้ออกมาชี้แจงว่า ข้อตกลงดังกล่าวจะส่งผลให้การค้าแบบทวิภาคีมีอัตราเติบโตถึงร้อยละ 20 หมายความว่า รายได้ของแคนนาดาจะเพิ่มขึ้นราว 1,200 ล้านดอลล่าห์ต่อปี และคาดว่าจะสามารถสร้างงานได้มากถึง 80,000 อัตรา นอกจากนี้หากสามารถบรรลุข้อตกลงและให้สัตยาบันความตกลงดังกล่าวได้ อัตราภาษีศุลกากรระหว่างคู่ค้าที่จากเดิมอยู่ที่ร้อยละ 98 ก็จะลดลงไปเหลือศูนย์ นับว่าเป็นความตกลงครั้งสำคัญที่สุดและจะส่งผลต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการของแคนาดาในหลายมิติ
|
|
|
|
|
|