|
|
|
|
สถิติ
|
ปรับปรุง : 7/03/2018
สถิติผู้เข้าชม:6678282 การเปิดหน้าเว็บ:9544975 Online User Last 1 hour (0 users)
|
|
|
|
|
|
|
ต่อรองราคา"ยาตับอักเสบซี"ช่วยผู้ป่วยไทย |
|
|
|
02 พฤษภาคม 2557
|
|
|
|
วันที่: 2 พฤษภาคม 2557 ที่มา: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ลิงค์: www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/life/20140502/579589/ต่อรองราคายาตับอักเสบซีช่วยผู้ป่วยไทย.html
ต่อรองราคา"ยาตับอักเสบซี"ช่วยผู้ป่วยไทยเข้าถึงมากขึ้น
แม้ว่าวิทยาการทางการแพทย์จะเจริญรุดหน้าไปมาก มีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อใช้ในการรักษาโรคอย่างต่อเนื่อง รวมถึง"ยาที่ใช้ในการรักษาโรค" ส่งผลให้โรคที่เคยเป็นปัญหาในอดีต และเป็นสาเหตุทำให้คนจำนวนมากเสียชีวิตลง สามารถรักษาได้
นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ บอกว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่เครือข่ายคนทำงานด้านเอดส์ทั่วโลกได้เรียกร้อง เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ติดเชื้อจากการใช้เข็มฉีดยาเสพติดมีอัตราการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีร่วมสูงมาก จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่ด้วยยาที่แพงมากทำให้เข้าถึงการรักษายาก จึงมีการเรียกร้องให้บริษัทยาลดราคายาเพ็กอินเตอร์เฟอร์รอน (Peg Interferon) และยาไรบาวิริน (Ribavirin) ลง แต่ในส่วนประเทศไทย ปัจจุบันผู้ป่วยด้วยโรคตับอักเสบซีต่างเข้าถึงยาเพ็กอินเตอร์เฟอร์รอนและยาไรบาวิรินอยู่แล้ว และบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการต่อรองราคายา ทำให้ราคายานี้ลดลงจนให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้
ทั้งนี้ แม้บริษัทยาได้ยอมลดราคายาเพ็กอินเตอร์เฟอร์รอนลงแล้ว แต่พบว่าผู้ป่วยยังคงประสบปัญหาการเข้าถึงการรักษา เนื่องจากเกณฑ์การใช้ยากำหนดให้ใช้รักษาเฉพาะผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซี สายพันธุ์ 2 และ 3 เท่านั้น
ด้าน ภญ.เนตรนภิส สุชนวนิช ประธานคณะทำงานต่อรองราคายาเพื่อบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2556 - 2558 บอกว่าในการบรรจุยาเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยปกติยาที่มีราคาแพงไม่ใช่ทุกตัวจะไม่ถูกนำเข้าสู่กระบวนต่อรองราคายา แต่ต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการรักษาก่อน ซึ่งกรณียารักษาไวรัสตับอักเสบซี คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ ได้มอบให้ทาง HITAP ทำการประเมินต้นทุนประสิทธิผลการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรังชนิดซี พบว่าการให้การรักษามีความคุ้มค่า หากต่อรองราคาลงได้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม
"โรคไวรัสตับอักเสบซีเป็นโรคเงียบ ส่วนใหญ่คนไข้จะไม่รู้ตัวจึงต้องทำการคัดกรองก่อน ประกอบกับจากการประเมินความคุ้มค่าในการรักษาชี้ว่า ยานี้จะได้ผลดีกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีสายพันธุ์ 2 และ 3 ซึ่งมีจำนวนร้อยละ 60 ของผู้ป่วยตับอักเสบซี โดยมีโอกาสหายถึงร้อยละ 85-90 ทางคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติจึงได้ให้ต่อรองราคายานี้" ภญ.เนตรนภิส กล่าว
ภญ.เนตรนภิส บอกด้วยว่า จากผลการต่อรองราคายาเพ็กอินเตอร์เฟอร์รอน ทางบริษัทยายอมลดราคายาลงถึงร้อยละ 70 พร้อมให้ยาไรบาวิริน ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้รักษาควบคู่กัน ทั้งนี้การต่อรองราคายาใช้เวลาเกือบ 5 เดือนจึงสำเร็จ ซึ่งการต่อรองราคายาได้ใช้ข้อมูลการเบิกจ่ายชดเชยผู้ป่วยตับอักเสบซีของทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำให้บริษัทยามั่นใจยอดขายและยอมลดราคาลง
ทั้งนี้ด้วยราคายาเพ็กอินเตอร์เฟอร์รอนที่ลดลง จึงมีการเสนอขยายการใช้ยาให้ครอบคลุมไปยังผู้ป่วยตับอักเสบซีสายพันธุ์ 1 และ 6 รวมไปถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยได้เสนอต่อคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์การใช้ยานี้
หลังบรรจุยาเพ็กอินเตอร์เฟอร์รอนในบัญชียาหลักแห่งชาติ มีผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีที่เข้ารับการรักษาสะสมตั้งแต่ปี 2555 จำนวน 1,292 ราย (เฉพาะสายพันธุ์ 2 และ3 ) โดยเป็นผู้ป่วยสิทธิระบบหลักประกันสุขภาพ 845 ราย ผู้ป่วยประกันสังคม 447 ราย เป็นมูลค่าการจัดซื้อยาและค่าตรวจห้องปฏิบัติการที่ใช้ในการวินิจฉัย 144 ล้านบาท
ขณะที่ ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) บอกว่านอกจากยาเพ็ก อินเตอร์เฟียรอน ที่ได้บรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบซีเข้าถึงยาแล้ว ปัจจุบันมียา Simeprevir ของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และยา Sofosbuvir ของบริษัท จีลีด ไซน์ส เป็นยาที่พัฒนาขึ้นในปี 2556 เป็นยากินและมีประสิทธิภาพในการรักษามากกว่า แต่มีราคาแพงมาก ตกอยู่ที่ราคาเม็ดละ 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผู้ป่วยต้องจ่ายค่ารักษาสูงถึง 66,000-84,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อรับยาต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ เป็นเหตุให้ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงยา ด้วยเหตุนี้จึงได้มีข้อเรียกร้องขอให้ลดราคายา และเห็นว่ายานี้ไม่ควรได้สิทธิบัตรเนื่องจากไม่ใช่ยาใหม่
"ขณะนี้ประเทศไทยต้องดูว่าจะทำอย่างไร และไม่ทราบว่าบริษัทยาที่ขายดังกล่าวได้มีการนำยาทั้ง 2 รายการมาขึ้นทะเบียนในไทยแล้วหรือไม่ ซึ่งคงต้องเตรียมความพร้อม หากยานี้มีประสิทธิผลการรักษาที่ดีจริง ควรจะหาวิธีเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงยา" ผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าว
|
|
|
|
|
|