search ค้นหาภายในเว็บไซต์
 
 
โลโก้ กพย. โลโก้ สสส.
 
ลิงค์
บล็อก กพย.

เว็บไซต์ KnowSteroid

Facebook โฆษณา

Facebook สเตียรอยด์
Facebook Twitter
Youtube กพย.



สถิติ

ปรับปรุง : 7/03/2018
สถิติผู้เข้าชม:6619969
การเปิดหน้าเว็บ:9470496
Online User Last 1 hour (0 users)


 
  รายงานพิเศษ: ถึงเวลาใช้ยาสมเหตุผลแก้ภาระงบประมาณชาติ
  10 พฤศจิกายน 2557
 
 


ที่มา: โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557




          น่าจับตาการลงนามเอ็มโอยูร่วมกัน ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)สำนักงานประกันสังคม สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) กรมบัญชีกลาง และกลุ่มสถาบันแพทย์ศาสตร์แห่งประเทศไทยเพื่อ "พัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล" ให้เกิดขึ้นจริง

          เป้าหมายที่ตั้งไว้ คือในปี 2558 โรงพยาบาลนำร่องทั้งหมด 57 แห่ง จะต้องมีการใช้ยาอย่างเป็นมาตรฐาน คุ้มค่า และเกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง หลังจากเกิดปัญหาการใช้ยาที่ฟุ่มเฟือย สร้างภาระให้กับงบประมาณ และยังส่งผลกระทบกับสุขภาพของประชาชนต่อเนื่องมานานหลายปี

          นพ.พิสนธิ์ จงตระกูลอาจารย์ภาควิชาเภสัชวิทยาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุสมผล ยกตัวอย่างว่าการใช้ยาไม่สมเหตุผล มีตั้งแต่การที่หมอเน้นจ่ายยาปฏิชีวนะ รักษาทุกอาการ ทั้งที่โดยหลักการไม่ควรให้คนไข้รับยาปฏิชีวนะเกิน 20% แต่ในบ้านเรามีการจ่ายยาปฏิชีวนะในโรงพยาบาลรัฐสูงถึง 56% และในโรงพยาบาลเอกชนมีการจ่ายสูงถึง 80-90% ทำให้โรคง่ายๆ รักษาด้วยยายากขึ้น หรือการจ่ายยาแก้ปวดชนิดเอ็นเซด ซึ่งส่งผลเสียต่อกระเพาะอาหาร รวมถึงผู้ป่วยที่มีอาการความดันในเลือดสูง หรือโรคเบาหวานเป็นต้น ไม่นับรวมถึงปัญหาเป็นที่ถกเถียงกันก่อนหน้านี้อย่างการจ่ายยาพาราเซตามอลเกินความจำเป็น เช่น ให้คนไข้กินยา 2 เม็ด ทั้งที่มีน้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ จึงส่งผลเสียต่อตับมานานหลายสิบปี

          "ทั้งหมดนี้เกิดจากการไม่มีระบบตรวจสอบมาตรฐานยา เช่น การตั้งค่ามาตรฐานในคอมพิวเตอร์ว่า หากคนไข้ป่วยเป็นโรคนี้ ต้องจ่ายยาชนิดนี้ โดยที่ไม่มีการประเมินเพิ่มเติมว่า คนไข้เคยรับยาอะไรไปแล้วบ้าง หรือมีสัดส่วนน้ำหนักตัวเหมาะกับยาหรือไม่ขณะที่ปัญหาสำคัญอีกอย่างคือการตัดสินใจของแพทย์ซึ่งมักจะใช้ยาดี ราคาแพง เป็นหลัก โดยที่ไม่ได้ถูกประเมินว่าเหมาะสมหรือไม่ ปัญหานี้ทำให้ค่าใช้จ่ายของรัฐในระบบยาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นพ.พิสนธิ์กล่าว

          ทั้งนี้ ภายใน 1 ปี ในโรงพยาบาลนำร่องจะมีการกำหนดมาตรฐาน เป็นต้นว่า ผู่ป่วยควรรับยาอะไรขณะเดียวกันจะมีการประเมินว่า ผลที่ได้รับ จะสามารถทำให้การใช้ยาเป็นไปอย่างคุ้มค่า ลดการเจ็บป่วยลงได้หรือไม่ โดยหน่วยงานอย่าง สรพ.จะเป็นผู้ร่วมประเมินเกณฑ์

          ขณะที่ ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลีผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) บอกว่าการใช้ยาไม่สมเหตุสมผลเกิดขึ้นทั้งจากการขาดระบบฐานข้อมูลการใช้ยา รวมถึงระบบส่งเสริมการขายโฆษณา ประชาสัมพันธ์ที่เกินจริง และปัญหาใหญ่อย่างทัศนคติของแพทย์ รวมถึงผู้บริโภคว่าจำเป็นต้องใช้ยา "ไฮคลาส" เท่านั้นในการรักษา

          "เรื่องจริงที่เราพบ ก็คือ ในโรงพยาบาลรัฐหรือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย เมื่อแพทย์จะจ่ายยาให้คนไข้จะต้องใช้ยาที่แพงที่สุดเสมอ แต่คนเหล่านี้เวลาไปเปิดคลินิกจะจ่ายแต่ยาสามัญ ซึ่งมีราคาถูกกว่า แต่ให้ผลการรักษาไม่ต่างกัน" ภญ.นิยดา กล่าว

          อย่างไรก็ตาม แม้ ภญ.นิยดา จะสนับสนุนการดำเนินงานตามเอ็มโอยูดังกล่าว แต่ก็ยังแสดงความกังวลในการนำนโยบายไปปฏิบัติ โดยเฉพาะการกำหนดชุดความรู้มาตรฐาน ที่ไม่มีหน่วยงานเป็นแกนกลางลงไปตรวจสอบ และการใช้กลไกของอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุสมผล อาจไม่เพียงพอ เพราะอาจต้องอาศัยอำนาจและกลไกการตรวจสอบที่จะประสานงานทุกส่วนเข้าด้วยกันขณะเดียวกันความเห็นเรื่องชุดความรู้ หรือการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผลยังคงหลากหลาย เพราะผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านยังมองรูปแบบการรักษาที่แตกต่างกัน

          นอกจากนี้ ชุดความรู้ของผู้บริโภคเองก็ยังแตกต่างเพราะความรู้เรื่องยายังคงมีมากจนทำให้สับสนว่าความรู้ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร และสำคัญที่สุดคือระบบประเมินผลและตรวจสอบจะทำงานได้จริงหรือไม่

          "ในออสเตรเลีย มีการแบ่งบทบาทชัดเจนว่า และทั้งหมดทำงานเชื่อมโยงกัน แต่เรายังมีช่องว่างระหว่างหน่วยงาน อาจเป็นโจทย์ใหญ่ที่คนทำงานต้องคิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร" ภญ.นิยดา ระบุ