ค้นหาภายในเว็บไซต์
สถิติ
ปรับปรุง : 7/03/2018
สถิติผู้เข้าชม:6531004
การเปิดหน้าเว็บ:9375050
Online User Last 1 hour (0 users)
ชำแหละปมคนไทยซื้อยาราคาแพง!!!
04 พฤษภาคม 2554
ดาวน์โหลดเอกสารฉบับเต็มที่นี่
ในแต่ละปีคนไทยใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อ ยาเพื่อมารักษาโรคเป็นเม็ดเงินนับหมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันยาบางประเภท
หากซื้อจากร้านขายยา คลีนิกเอกชน โรงพยาบาลรัฐ หรือโรงพยาบาลเอกชน มักราคาแตกต่างกันมาก หรือ
ซ้ำร้ายแพงกว่ากันเป็นหลักร้อยบาทต่อชนิด โดยที่ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสามารถทำกำไรจากการจำหน่ายยาบางชนิดสูงเฉลี่ย
ประมาณ
30-200
เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ก่อให้เกิดคำถามว่า เหตุใดคนไทยต้องจ่ายเงินซื้อยารักษาแพง
เปิดปม
6
ต้นเหตุยาแพง
ประธานการประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่ง ชาติ (คสช.) นพ.วิชัย โชควิวัฒน ระบุถึง ปัญหายาแพงมี
6
ประการ คือ
หนึ่ง - สิทธิบัตร สอง - สิทธิผูกขาดที่ทำนอกเหนือสิทธิบัตรยา ยกตัวอย่าง เมื่อยาใหม่ที่ไม่มีสิทธิบัตรเข้ามา
พวกบริษัทยาจะนำยากลุ่มนี้เข้าโครงการควบคุมกำกับยา โดยจะห้ามบริษัทยาอื่นผลิตยากลุ่มนี้ทันที
ที่สำคัญจะสามารถตั้งราคายาได้ตามใจชอบ
สาม - การโฆษณาเกินจริง อย่างวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่ระบุว่า สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ ทั้ง ๆ ที่ประสิทธิภาพไม่ได้มากเท่าที่โฆษณา ซึ่งตรงนี้ทำให้ธุรกิจยามีรายได้มหาศาล เห็นได้จากพวกซีอีโอของธุรกิจยาต่าง ๆ มีเงินเดือนตลอดทั้งปีสูงถึง
3,500
ล้านบาท และยังมีสิทธิซื้อหุ้นในราคาถูกอีก
3,500
ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้มหาศาลทีเดียว
สี่ - งบประมาณส่งเสริมการขาย อาทิ การสนับสนุนแพทย์บางกลุ่มในการจัดกิจกรรม โดยแพทย์กลุ่มนี้ก็ทำตัวเหมือนทาสบริษัทยา และแพทย์เหล่านี้ก็จะสั่งจ่ายยาของบริษัทตัวเองเป็นการตอบแทน
ห้า - อุตสาหกรรมยาของประเทศไทยอ่อนแอ กลายเป็นจุดอ่อน ขณะที่ประเทศอินเดียกลับผลิตยาขายประเทศต่าง ๆ ได้ เพราะมีความกล้าในการผลิต แต่อุตสาหกรรมยาในไทยขาดความกล้า ทำให้ยังเป็นอุตสาหกรรมทารกอยู่ ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เพียงพอ และ หก-การยัดเยียดการจ่ายยา โดยให้แพทย์บางรายสั่งจ่ายยาแพง ๆ กรณีที่ผู้ป่วยบางรายเบิกจ่ายได้ เป็นต้น
ที่สำคัญปรัชญาของการขายยาของบริษัทยาในยุคนี้เปลี่ยนไปจากเดิมที่มุ่งขายยา เพื่อรักษาความเจ็บป่วย ก็เปลี่ยนมาเป็นการขายยาเพื่อยอดขาย โดยเน้นให้ความจำเป็นของยา ผ่านการกำหนดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาทิ เบาหวานเมื่อก่อนเกิน
150
มิลลิกรัมจึงจะต้องใช้ยา แต่ปัจจุบันแค่
120
มิลลิกรัม ก็ถูกแพทย์ระบุว่าต้องใช้ยาแล้ว ขณะเดียวกัน ระบบของรพ.เมืองไทยจะขึ้นอยู่ระบบผู้เชี่ยวชาญ
ที่มี สมาคมวิชาชีพเป็นผู้กำหนดให้คุณและโทษ แต่ไม่เคยคำนึงถึงผู้รับบริการ
แฉ บ.ยาตั้งราคาเกินจริง
ขณะที่ การวิจัยศึกษ าเรื่อง ราคายาในประเทศไทย ของคณะอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากวงการยา จากภาควิชาเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล รศ.ดร.ชะอรสิน สุขศรีวงศ์ จากหน่วยวิจัยเภสัชศาสตร์สังคมและการบริหาร ได้ร่วมกับ ภญ.วรสุดา ยูงทองแห่งกองควบคุมยา อ.ย. ระบุว่า จากการ สำรวจยา
43
ชนิดที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทย และที่ขึ้นทะเบียนในปี
2550
พบว่า ร้อยละ
51
ของยาที่สำรวจ มีราคาตั้งแต่เม็ดละ
11-50
บาท ขณะที่ร้อยละ
15
มีราคาตั้งแต่เม็ดละ
51-33
บาทร้อยละ
25
มีราคาตั้งแต่เม็ดละ
101-500
บาท และ ร้อยละ
3
มีราคาสูงกว่าเม็ดละ
1,000
บาท จะเห็นว่าโดยภาพรวมถือว่ายามีราคาแพงมาก ที่สำคัญเมื่อตรวจสอบราคาต้นทุนที่บริษัทยาแจ้งไว้กับกรมการค้าภายในกับราคา ที่ขายให้โรงพยาบาลรัฐ พบว่ามีส่วนต่างถึง
60-800
เท่า
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคายาแพงคือ
สิทธิบัตร
หากไม่มีสิทธิบัตรหรือสิทธิบัตรหมดอายุทำให้ราคาถูกลงได้ถึง ร้อยละ
90
อาทิกรณียาต้านไวรัสบางตัวที่ มีสิทธิบัตรแพงกว่ายาไม่มีสิทธิบัตร
6
เท่า ยารักษาโรคเบาหวานที่มีสิทธิบัตรแพงกว่ายาไม่มีสิทธิบัตร
14.5
เท่า
อีกปัจจัยหนึ่ งที่ สำคัญคือ บริษัทขายยาให้โรงพยาบาลในราคาแพงกว่ าที่ แจ้งไว้กับกรมการค้าภายในหลายร้อยเท่าตัว โดยให้เหตุผลว่า เป็นมูลค่าที่รวมค่าบริหารจัดการภายในทว่าเมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดได้ พบประเด็นที่น่าพิจารณา คือ
1.
ค่าใช้จ่ายดังกล่ าวเน้นหนักไปที่
การตลาดหรือการส่งเสริมการขาย
หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ กระตุ้นผู้บริโภคโดยตรง
มีการสำรวจพบว่า ค่าใช้จ่ายในการโฆษณายาของไทยมีมูลค่าสูงมาก เฉพาะการโฆษณาในสื่อหลัก เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร โทรทัศน์ วิทยุบิลบอร์ด ฯลฯ ในช่วง
3
ปี(พ.ศ.
2549-2551)
สูงกว่าปีละ
1,500
ล้านบาท
2.
การสนับสนุนการทำกิจกรรมของแพทย์ บางกลุ่ม เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นในฐานะที่ แพทย์เป็นผู้สั่ งจ่ ายยา โดยเฉพาะการสนับสนุนแพทย์ให้ใช้ยาของบริษัทนั้นๆ รวมถึงบุคลากรสาธารณสุขอื่นๆ เช่น เภสัชกร พยาบาล เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ซึ่งล้วนแต่เป็น
ผู้มีอำนาจในการจ่ายยาและจัดซื้อยา
ทั้งสิ้น
กลวิธีที่บริษัทยาใช้เพื่อให้เข้าถึง ผู้มีอำนาจในการสั่งจ่ายยา อาทิการเชิญไปต่างประเทศ การให้ทุนทั้งระดับบุคคลและสถาบันการติดต่อโดยใช้สาวสวย หรือ
พริตตี้
การให้ค่าตอบแทนแพทย์ตามยอดสั่งยา และให้ค่ารายหัวกรณีที่สั่งจ่ายยารักษาโรคเรื้อรังแก่ผู้ป่วยรายใหม่ เป็นต้น
สภาพเช่นนี้ส่งผลต่อการจ่ายยาและการ จัดหายา อาทิทำให้ยามีราคาแพงเกินจริง ส่งเสริมให้เกิดการจ่ายยาอย่างฟุ่มเฟือย การสั่งซื้อยาบางกลุ่มที่ไม่จำเป็น และการให้ยาที่ไม่เหมาะสมจนอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย
นี่ คือปมปัญหาอันท้าทายของมนุษยชาติในวันนี้ ตราบเท่ าที่
ยา
ยังเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
และผู้คนในทุกสังคมต่างอยู่ภายใต้สถานะแห่งความยากดีมีจนไม่แตกต่างกัน
ระบุรพ.รัฐบวกราคายา
สูงกว่าเอกชน
ทั้งนี้ ยังพบอีกว่า สำหรับยาต้นแบบ
(Original drug:
ยาที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาอย่างมากและใช้เงินลงทุนสูง มีฤทธิ์รักษาจริงและผลข้างเคียงน้อย ผู้ผลิตยาต้นแบบจะได้รับสิทธิบัตรผูกขาดในการผลิตยาประมาณ
20
ปี เมื่อสิทธิบัตรสิ้นสุดลง ผู้ผลิตรายอื่นก็สามารถผลิตยานั้นออกจำหน่ายได้ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่าง ประเทศ) กับ ยาสามัญ
(Generic drugs:
ยาที่ผลิตขึ้นภายใต้เครื่องหมายการค้าอื่นใด ที่ไม่ใช่เครื่องหมายการค้าตามสิทธิของผู้ครองสิทธิบัตรยา แต่มีตัวยาสำคัญ เป็นชนิดเดียวกันกับยาต้นแบบ โดยผลิตหลังจากยาต้นแบบได้รับการรับรอง และอนุมัติให้ ใช้ในการรักษาโรคแล้ว ซึ่งอาจลอกเลียนสูตรยาต้นแบบเมื่อยาเหล่านั้นหมดสิทธิบัตรแล้ว มีราคาถูกกว่ายาต้นแบบหลายเท่าตัว มีทั้งนำเข้าจากต่างประเทศไทยและผลิตในประเทศ
)
ระหว่างโรงพยาบาลของรัฐ กับ ร้านขายยาเอกชน พบว่า
ราคายาต้นแบบของโรงพยาบาลรัฐที่ขาย ให้ผู้ป่วยแพงมีการตั้งราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นบวกจากต้นทุน (
Mark up )
เฉลี่ย
32
เปอร์เซ็นต์ และยาสามัญราคาเพิ่มขึ้น
75
เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ราคายาสามัญของร้านขายยาเอกชน
36.6
เปอร์เซ็นต์
ส่วนยาต้นแบบของร้านขายยาเอกชนบวกเพิ่มขึ้นจากราคาต้นทุน
43.3
เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ยาสามัญบวกเพิ่มขึ้น
36.6
เปอร์เซ็นต์
ประเทศไทยไม่มีมาตรฐานทั้งราคาซื้อ และขาย ไม่มีการควบคุม(
mark up)
แม้แต่ราคาที่ภาครัฐซื้อแต่ละแห่งก็แตกต่างกัน
เนื่องจากผู้ขายยอมขาดทุนในบางแห่ง แต่นำกำไรจากโรงพยาบาลอื่นๆหรือภาคเอกชนบางแห่งมาชดเชย ดังนั้นราคายาที่ภาครัฐขายให้ผู้ป่วยจึงแตกต่างกัน ทั้งที่เป็น
generic
เดียวกัน หรือยาบางตัวแม้จะมีชื่อสามัญและมีการแข่งขันแล้ว ยาแบรนด์ก็ยังแพงมากอยู่
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งราคาไม่สามารถตรวสอบได้ ทั้งนี้หากวิเคราะห์ต้นทุนแท้จริงของยา ประกอบด้วย หนึ่ง-การวิจัย สอง-การบริหารจัดการ สาม-การตลาด สี่-ภาษี สำหรับยาในประเทศ ภาษีเป็น
0 %
ส่วนยานำเข้าจากต่างประเทศ ภาษีนำเข้าประมาณ
0
เปอร์เซ็นต์ สำหรับยาประเภทวัคซีน และประมาณ
10
เปอร์เซ็นต์สำหรับยานำเข้าทั่วไป โดยโครงสร้างต้นทุนแท้จริงของราคายาแต่ละตัวไม่ค่อยมีใครทราบ ซึ่งบริษัทผู้ผลิตยาสามารถแจ้งเท่าไหร่ก็ได้ ดังนั้นเมื่อต้องไปต่อรองราคายาจึงค่อนข้างลำบาก ส่งผลให้โครงสร้างราคายาจำหน่ายจึงไม่มีมาตรฐานขึ้นอยู่กับความสามารถในการต่อรอง และกลยุทธ์ในการทำตลาดบริษัทยา
เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ราคาที่บริษัทจำหน่ายหรือบริษัทนำเข้ายาแจ้งต่อคณะกรรมการอาหารและยา และกรมการค้าภายในเป็นราคาที่สมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะผู้ขายเป็นผู้กำหนดราคาเอง โดยรัฐไม่มีอำนาจต่อรอง ทั้งนี้เมื่อสำรวจงบการเงินบริษัทยา
5
ปีย้อนหลัง พบว่า ความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าบริษัทยาในอังกฤษ เช่น เมื่อพิจารณาดูจากค่า
ROCE
กำไรสุทธิก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยนต่อสินทรัพย์หักหนี้ระยะสั้นเท่ากับ
0.335
ขณะที่ในอังกฤษเท่ากับ
0.21
ผู้เชี่ยวชาญยา แนะทางออกแก้ปม
อย่างไรก็ตาม แนวทางควบคุมราคายาไม่ให้แพงเกินเหตุนั้น อาจารย์ รศ.ดร.ชะอรสิน แนะนำว่า
ภาครัฐควรมีหน่วยงานเฉพาะที่มีอำนาจและหน้าที่เข้ามากำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ คือ ตั้งแต่ต้นทุนแท้จริง ราคานำเข้า หรือราคาจำหน่ายต่อผู้ป่วยแล้ว โดยกำหนดให้อยู่ภายในหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขและคณะทำงานที่มีความรู้ และความเชี่ยวชาญยา ซึ่งประกอบด้วย แพทย์ เภสัชกร หรือผู้เชี่ยวชาญด้านยา
ขณะเดียวกัน ด้านกฏหมาย จำเป็นต้องมีกฎหมายหรือกฎระเบียบในการควบคุมราคายาอย่างเคร่งครัด
ตั้งแต่ให้อำนาจและหน้าที่หน่วยงานและบุคลากรที่ทำงานอย่างครอบคลุม
ปัจจุบันเมืองไทย มีระบบควบคุมราคายาไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เนื่องจาก มีเฉพาะแต่การควบคุมราคาจำหน่ายไม่ให้เกินราคาที่กำหนดไว้ โดยหน่วยงานของรัฐเพียงแห่งเดียว ได้แก่ กรมการค้าภายในตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามมาตรา
24-
มาตรา
25
แต่ไม่ได้ควบคุมการตั้งราคาตั้งแต่การนำเข้าหรือการผลิต ทั้งนี้ การไม่มีกฏหมายควบคุมราคายาตั้งแต่ต้นน้ำมากำหนดตอนปลายน้ำ ซึ่งเป็นช่วงราคาจำหน่ายที่ผู้บริโภคไม่ให้ขายเกินราคาที่กำหนดไม่ได้แก้ปัญหาปัญหาราคาแพงหรือสูงกว่าต้นทุนแท้จริง อีกทั้งยังเป็นช่องโหว่ให้ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้ายามักกำหนดราคายาให้สูงไว้ ก่อนและเมื่อนำมาจำหน่ายก็ลดราคาหรือขายเท่ากับราคาที่กำหนดไว้ข้างกล่อง หรือราคาที่แจ้งไว้
อาจารย์ รศ.ดร.ชะอรสิน บอก